ผลกระทบของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยต่อภาคธุรกิจและแนวทางปรับตัวของธุรกิจบริการทำความสะอาด

ผลกระทบของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยต่อภาคธุรกิจและแนวทางปรับตัวของธุรกิจบริการทำความสะอาด

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีแนวโน้มปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่แรงงาน ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ แม้จะเป็นนโยบายที่ส่งผลดีในด้านสังคม แต่ในแง่ของภาคธุรกิจ การขึ้นค่าแรงอย่างสม่ำเสมอสร้างแรงกดดันด้านต้นทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกับธุรกิจที่พึ่งพาแรงงานจำนวนมาก เช่น ธุรกิจบริการทำความสะอาด

ผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวม

  1. ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น
    ค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กคือค่าแรง ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยอัตโนมัติส่งผลให้กำไรลดลงหากไม่สามารถปรับราคาค่าบริการได้ทันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
  2. การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
    ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันอาจต้องลดจำนวนพนักงานหรือปรับลดคุณภาพบริการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความพึงพอใจของลูกค้า
  3. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม
    หากธุรกิจจำนวนมากต้องปิดกิจการหรือลดขนาดองค์กรเพราะรับภาระค่าแรงไม่ไหว จะส่งผลย้อนกลับในเชิงลบต่อการจ้างงานและอัตราการว่างงาน

ผลกระทบเฉพาะกับธุรกิจบริการทำความสะอาด

ธุรกิจบริการทำความสะอาดถือเป็นภาคส่วนที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น ค่าแรงมักคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 60% ของต้นทุนทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่ลูกค้าให้ความสำคัญกับราคาค่าบริการเป็นหลัก ดังนั้น การขึ้นค่าแรงบ่อยครั้งทำให้บริษัทต้องเลือกระหว่าง:

  • ขึ้นราคาค่าบริการ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียลูกค้า
  • ลดจำนวนพนักงานต่อพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งกระทบต่อคุณภาพบริการ
  • รับภาระต้นทุนเอง ซึ่งอาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว

แนวทางลดผลกระทบและการปรับตัว

  1. การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้แทนแรงงาน
    การลงทุนในหุ่นยนต์ทำความสะอาด เช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัตโนมัติ หรือเครื่องขัดพื้นแบบอัจฉริยะ สามารถลดการพึ่งพาแรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด โดยเฉพาะในพื้นที่กว้าง เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือโรงงาน
  2. การใช้ระบบจัดการงานแบบดิจิทัล
    การติดตามผลการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน การจัดตารางงานอัตโนมัติ และการประเมินประสิทธิภาพพนักงานแบบเรียลไทม์ช่วยลดความสูญเสียด้านเวลาและทรัพยากร
  3. ฝึกอบรมแรงงานให้มีทักษะหลากหลาย
    พนักงานที่สามารถทำงานได้หลายประเภท (multi-skill) จะช่วยให้ธุรกิจใช้ทรัพยากรบุคคลได้อย่างคุ้มค่า
  4. สร้างความแตกต่างด้วยคุณภาพและความน่าเชื่อถือ
    หากลูกค้ามองเห็นมูลค่าของคุณภาพบริการมากกว่าราคาค่าบริการ ก็สามารถยอมรับราคาที่สูงขึ้นได้ ทำให้ธุรกิจสามารถรักษาระดับรายได้ได้แม้ต้นทุนเพิ่ม

แม้การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นนโยบายที่มีจุดมุ่งหมายเชิงบวก แต่ธุรกิจจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและกลยุทธ์ในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะธุรกิจที่อิงกับแรงงานเข้มข้นอย่างบริการทำความสะอาด การนำเทคโนโลยีมาใช้ผสมผสานกับการพัฒนาบุคลากรและการวางแผนต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ในยุคที่ค่าแรงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

IFS ซึ่งเป็นผู้นำด้านบริการทำความสะอาดครบวงจรในประเทศไทย เป็นบริษัทที่ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นระบบหุ่นยนต์ทำความสะอาดในพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการจัดการพนักงานและตรวจสอบคุณภาพแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ IFS ยังมีทีมงานมืออาชีพที่ทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อนำเสนอโซลูชันที่ลดต้นทุนแต่คงไว้ซึ่งมาตรฐานคุณภาพ

หากธุรกิจของคุณกำลังมองหาแนวทางปรับตัวเพื่อรับมือกับต้นทุนงานทำความสะอาดที่สูงขึ้น สามารถติดต่อ IFS ได้ที่ marketing@ifs-thailand.com หรือ www.ifs-thailand.com

Share this post
Facebook
LinkedIn